คือผมได้กู้เงินให้พ่อไปซื้อที่ดินปลูกบ้าน 1.5 ล้านบาท จนตอนนี้พ่อผมได้หยุดจ่ายเพราะขาดรายได้ จึงมียอดค้างธนาคารอยู่ 5 เดือน
ซึ่งปกติต้องจ่ายเดือนละ 10800 บ. แล้วรวมดอกเบี้ยค่าทวงถาม กลายเป็นค้างอยู่ 81,xxx บ
ผมได้นำเงินส่วนหนึ่งไปชำระ วันที่ 28 กพ 57 จำนวน 50,000 บ. คงค้างอีกประมาณ 41,xxx บ.
จนมาเมื่อวันที่ 27 มีค 57(ผ่านไป 1 เดิอน) มีจดหมายทวงหนี้จากบริษัททนายความแห่งหนึ่งว่าเราหมดสัญญากับทางธนาคารแล้ว
ไม่ได้ผ่อนชำระมา 5 งวด เป็นเงินค้างอยู่ 67,245.12 บาท (ดอกขึ้นมาอีก 2 หมื่นกว่า โหดมากเลยครับ)
แล้วกล่าวหาว่าทางผมเพิกเฉยและผัดผ่อนเรื่อยมา ทั้งที่พึงจ่ายไปส่วนหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว และรับโทรศัพท์ตลอด
พร้อมให้นำเงินมาชำระหนี้เป็นยอดจำนวน 1,465,351.97 บ. รวมดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งผมไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้แน่นอน
พร้อมบอกว่าถ้าไม่จ่ายจะดำเนินตามกฏหมายยืดทรัพย์ต่อไป

ตอนนี้ผมเครียดมากครับไม่รู้จะปรึกษาใครจึงอยากสอบถามมางทนายกฤษณะ ดังนี้ครับ

1). ถ้าผมจะทำหนังสือกลับไปทางทนาย เพื่อขอดูเอกสารมอบอำนาจให้ทวงหนี้จากธนคารว่าได้มอบหมายมาจริง จะได้ไหมครับ

2). กรณีที่ผมถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉยต่อการจ่ายหนี้ทั้งๆที่รับโทรศัพท์ทุกครั้ง และพึงชำระไปส่วนหนึ่งไปเกิน 50% เมื่อเดือนที่แล้ว ผมจะสามารถฟ้องร้องกลับทางทนายได้ไหมครับ ว่ากล่าวเกินความจริง ทำเกินหน้าที่

3). ในหนังสือที่ส่งมามีช่วงหนึ่งพิมพ์ข้อความมาว่า "ขอให้ท่านนำเงินจำนวน 1,465,351.97 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ของต้นเงิน จำนวน 1,398,106.85 บาท ไปชำระที่ธนาคาร...ภายใน 30 วัน" ซึ่งถ้าอ่านดูแล้วจะหมายความว่า ให้นำเงินไปชำระ จำนวน 2,863,458.82 บาท ใช่หรือไม่ เพราะนั้นคือเกินความจริงที่ว่า ผมค้างเงินต้นอยู่ 1,398,106.85 บาท + ดอกเบี้ยอีก 67,245.12 บาท จะได้เงินที่ต้องชำระจริง 1,465,351.97 เท่านั้น แสดงว่าทางทนายสะเพร่าใส่จำนวนรวมยอดผิด สามารถเอาผิดตรงนี้ได้หรือไม่ครับ

4). สุดท้ายช่วยชี้แนะทางออกที่ดีสำหรับผมให้หน่อยครับ เพราะผมไม่ใช่เป็นคนเบี้ยวหนี้ เพียงแค่ผมมีหนี้บ้านหนี้รถที่ต้องชำระส่วนตัวอยู่แล้ว และชำระตรงเวลาตลอด แต่มาเสียตรงที่พ่อผมหยุดจ่ายค่าที่ดิน ที่ผมทำเรื่องกู้ให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ เตรียมเงินไว้สำหรับจ่ายในส่วนนี้ ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว

ขอบพระคุณมากครับ ถ้าไม่สะดวกตอบในกระทู้นี้ รบกวนตอบทาง Email ได้นะครับ

ไม่ต้องไปขอดูหนังสือมอบอำนาจหรอก ไม่มีใครเขาทำกันลักษณะนี้เขามอบอำนาจด้วยวาจาก็ได้ ส่วนคำถามข้อ 3. ไม่ทราบคุณอ่านอย่างไร ถึงตีความหมายอย่างนั้น จำนวน 2 ล้านมาเกี่ยวอะไร ผมแนะนำให้ไปคุยกับฝ่ายสินเชื่อที่คุณไปทำเรื่องกู้ ถึงแม้จะเลิกสัญญาแล้ว ก็อาจจะทำสัญญาใหม่คล้ายๆ กับรีไฟแนนซ์ และอย่าไปคิดเอาเรื่องทนายความเลยครับ เอาเวลาไปเคลียร์เรื่องหนี้ดีกว่า เชื่อผมเถอะ