สืบเนื่องมาจากว่า วันที่ 24 เวลาประมานบ่ายสามโมงขึ้น นายก.(นามสมมติ)มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ร้านในอยุธยา หลังจากนั้นก็มีบุคคล รู้จักซึ่งเป็นญาติกันนี่ละคะ เเต่ไม่พบเจอมานาน นายข. (นามสมมติ) ทำทีเข้ามาขอเบอโทรศัพท์มือถือ นายก . ก็ให้ไปด้วยความที่เหนว่าเป็นคนรู้จักกัน หลังจากนั้นประมานครึ่งชั่วโมง นาย ข ก็ โทรมา นัดนายก ไปที่สนามกีฬาในอยุธยา แล้ว นายก.ก็เดินทางไปด้วยความที่ไม่คิดอะไร พอไปถึงนายข. ก็ทำทีว่าขอยืมเงิน 140 หลังจากนั้นนายก. ก็เลยให้ไปเพราะความที่เป็นญาติกัน แล้วนายข ก็ยื่นยามาให้หนึ่งเม็ดนาย ก. ก็ ถามว่าเอามาให้ทำไมอะไรประมาณนั้น ก็ถือเล่นไม่ได้คิดอะไร ไม่ทันไร ก็มีบุคคลที่สาม อ้างว่าเป็นนายตำรวจ สั่งให้นั่งลง และก็เข้าจับกุม ด้วย ข้อหามีครอบครอง ยา 1 เม็ดที่นายข ยัดส่งให้ หลังจากนั้นก็ทำทีพาไปโรงพัก ทำทีไปตรวจปัสสาวะ เเต่ก็ไม่พบ แต่ขณะเีดียวกันก็ยังควบคุมนาย ก ไว้ในรถ ไม่นำขึุ้นโรงพักแต่อย่างใด หลังจากนั้น ก็มีบุคคลนึงอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทำทีขึ้นไปบนโรงพัก ไปนำใบอะไำรสักอย่างมาเขียนเชิงว่าลงบันเทิงประจำวัน เเต่นำมาเขียนหน้าโรงพัก แล้วก็นำนาย ก ไปตรวจ ปัสสาวะอีกทีที่โรงพยาบาล ซึ่ง นายก. ตรวจไม่พบ เพาะไม่ได้เสพยา เลย หลังจากนั้น ก็พากลับมาที่โรงพัก แต่ก็ไม่ได้ขึ้นโรงพักเเต่อย่างได้ ทางญาติโทรไปถามว่า นายตำรวจชื่ออะไรก็ไม่แจ้ง ว่าชื่ออะไรบอกว่า จะรุ้ไปทำไม ไม่แจ้งอะไรใ้ห้ทราบ ทางที่อ้างว่าเป็นตำรวจ เรียกเงินตอนเเรก 5 หมื่นบาทหลังจากตรวจ ปัสสาวะไม่พบ ก็ลดเหลือ 3 หมื่นบาท ญาติ จึงจะนำเงินไปประกันก็ไปเดินหาทั่วโรงพักไม่พบ มาพบอีกทีในรถ ที่ อ้างว่าเปนเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ส่งมอบ เงิน 3หมื่นเพราะทางที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าจ่ายจะไม่เสียประัวัติ ก็จ่ายไป หลังจากนั้นนาย ก. ก็ถูกปล่อยตัวออกมา แล้ว ตำรวจและนายข. ก็หายไปเลย อยากทราบว่า กรณีนี้ น่าจะเป็นตำรวจปลอมไหม ค่ะ เพราะไม่ได้พาขึ้นไปทำคดีบนโรงพักแต่อย่างใดเลย ที่สำคัญ คนที่ยัด ยา ให้เหมือนสมรู้ร่วมคิดกันไว้ก่ิอนล่วงหน้าแล้ว แล้ว ถ้าในกรณี ที่มีไว้ในครอบครอง จ่ายเงิน 3 หมื่นแล้วไม่โดนทำประวัตินี่ มีด้วยหลอค่ะตาม กฎหมาย เกิดขึ้น ที่หน้าสภอ . พระนครศรีอยุธยา เมือ่ไม่กี่ชั่วโมงค่ะ

ถ้าเป็การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต้องลงบันทึกประจำวัน พิมพ์นิ้วมือทำประวัติ สอบปากคำผู้ต้องหา นำไปฝากขังที่ศาล พฤติกรรมที่ว่าน่าจะเป็นตำรวจปลอม

สืบเนื่องจาก บริษัท ก ได้ออกใบสั่งซื้อให้ บริษัท ข ราคารวมค่าติดตั้งทั้งหมด 70,211.4 บาท (ไม่รวม Vat) โดยแยกเป็นค่าสินค้า
50,211.40 บาท ค่าติดตั้ง 20,000 บาท ทางบริษัท ก ได้จ่ายมัดจัดค่าสินค้าให้บริษัท ข 30% (15,729 บาท) โดยในใบสั่งซื้อระบุว่าจะจ่ายอีก 70% ที่เหลือหลังจากได้รับสินค้า แต่เมื่อถึงวันส่งสินค้าทางบริษัท ข จะรับเงินส่วนที่เหลือ บริษัท ก แจ้งว่าจะต้องติดตั้งให้แล้วเสร็จก่อนถึงจะจ่ายให้ บริษัท ข ไม่ยอมและได้ขนของทั้งหมดกลับไปและไม่ยอมคืนเงิดมัดจำที่จ่ายให้ บริษัท ก ไม่ยอมแจ้งให้บริษัท ข เข้ามาติดตั้งให้ บริษัท ข แจ้งว่าให้เอาเงินมัดจำส่วนที่เหลือมาให้แล้วจะส่งสินค้าทั้งหมดให้ แต่บริษัท ก ไม่ยอมรับในเงื่อนไขต้องการให้บริษัท ข มาติดตั้งให้ด้วย หลายเดือนต่อมาบริษัท ก โทรไปสอบถามที่ บริษัท ข และทางบริษัท ข แจ้งว่ายังไงก็ไม่เข้ามาติดตั้งให้แน่นอนโดยส่งเอกสารมาทางแฟกซ์ให้บริษัท ก ไปรับสินค้าและชำระเงินที่เหลือภายในวันที่กำหนดถ้าไม่มารับ บริษัท ข จะถือว่าบริษัท ก สละสิทธิ์ไม่คืนมัดจำให้ทุกกรณี และไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น กรรมสิทธิทุกอย่างเป็นของ บริษัท ข เท่านั้น เมื่อบริษัท ก ได้รับแฟกซ์แล้วก็ไม่ได้ตอบรับในข้อตกลงอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อเลยกำหนดระยะเวลาที่บริษัท ข แจ้งไว้ ทางบริษัท ก ก็เดินทางไปที่บริษัท ข เพื่อขอจ่ายเงินและขอสินค้าคืน แต่ทางบริษัท ข แจ้งว่าได้ขายสินค้าไปแล้วแต่จะทำการผลิตให้ใหม่เมื่อบริษัท ก จ่ายเงินที่เหลือให้ บริษัท ก ไม่ยอมรับเงื่อนไขต้องการได้ของภายในวันนั้นแต่บริษัท ข ไม่มีสินค้าให้และแจ้งว่าบริษัท ก ไม่มารับสินค้าตามวันเวลาที่กำหนด เลยอยากถามว่าถ้าบริษัท ก อยากจะฟ้องบริษัท ข ให้คืนเงินมัดจำให้บริษัท ก หรือรับสินค้าทั้งหมดโดยจ่ายเงินที่เหลือไว้จะพอเป็นไปได้ไหม ถ้าฟ้องร้องจะมีโอกาสชนะไหม

รบกวนตอบด้วยค่ะ

รบกวนช่วยตอบมาที่เมลล์ taypaweena@hotmail.com

คดีแบบนี้ถ้าฟ้องศาลไกล่เกลี่ยให้อยู่แล้ว แต่ถ้าหวังเพียงเงินมัดจำคืนมันจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย น่าจะฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาคือส่งมอบทรัพย์พร้อมติดตั้ง