ดา

ดา

ผู้เยี่ยมชม

tarathip-@hotmail.com

  ถูกใส่ร้ายว่าเป็นเมียน้อย (901 อ่าน)

11 ต.ค. 2554 11:26

รบกวนขอสอบถาม

แต่ขอเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อน ดิฉันได้รู้จักกับชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง รู้จักและได้พูดคุยกันเพียงไม่นาน และเขาได้ขอความช่วยเหลือจากฉันให้ฉันพาเขาไปโรงพยาบาลในคืนวันที่ 29/7/54 ด้วยอาการปวดท้อง เพราะฉี่ไม่ได้ ฉี่ไม่ออก สาเหตุที่เขาขอความช่วยเหลือเพราะเขาเป็นชาวต่างชาติพูดภาษาไทยได้เพียงเล็กน้อยและเขากลัวจะไม่เข้าใจในเวลาที่พบหมอ และเนื่องด้วยที่เขาต้องมาในเวลากลางคืนเพราะในวันต่อมาเขาต้องเดินทางไปทำวีซ่าที่ประเทศกัมพูชา ในคืนนั้น ออกจากโรงพยาบาลเกือบ 01.00 น. ฉันจึงอนุญาตให้เขาพักที่บ้านของฉัน ซึ่งที่บ้านของฉันมีลูกๆอยู่ด้วย 2 คน และในตอนเช้าเขาจึงเดินทางกลับไป และทางโรงพยาบาลนัดตรวจอีกครั้งในวันที่ 4 ส.ค. และในวันที่ 3 ส.ค. เขาได้ให้ลูกน้องของเขาหรืออีกในฐานะคือลูกสะใภ้ของโจทย์ ซึ่งเกิดจากผู้ชายอื่นโทรมาหาดิฉันเพื่อบอกว่าฝ่ายชายต้องนอนที่โรงพยาบาลเพราะหลังจากที่กลับมาจากกัมพูชาฝ่ายชายฉี่ออกมาเป็นเลือด คุณหมอให้นอนดูอาการ สาเหตุที่เขาให้ลูกสะใภ้โทรบอกดิฉัน เพื่อการยกเลิกนัดที่โรงพยาบาลในจังหวัดที่ดิฉันอาศัยอยู่ ต่อมาฉันได้รับทราบจากลูกสะใภ้ของโจทย์อีกว่าคุณหมอให้ฝ่ายชายอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกเพราะคุณหมอสงสัยว่าเขาจะเป็นมะเร็งที่ต่อมลูกหมากต้องการเช็คให้แน่ใจ และเขายังคงฉี่เป็นเลือดตลอด แต่ฝ่ายชายไม่ต้องการอยู่ต่อเพราะเขามีนัดพูดคุยกับทนายความของเขาที่ได้มีการนัดหมายกันมาก่อนหน้านี้ก่อนที่จะไปทำวีซ่าที่กัมพูชาที่กรุงเทพเกี่ยวกับเรื่องการขออย่าร้างกับภรรยาของเขาที่ทำงานเลดี้บาร์ในต่างประเทศและเรื่องการขอแยกตัวสำหรับการทำธุรกิจในเมืองไทยต่อ (นี่คือข้อความที่ฉันได้รู้จากฝ่ายชายในก่อนหน้านี้) ลูกสะใภ้ของโจทย์ต้องการให้ฉันช่วยพูดคุยกับฝ่ายชายขอร้องให้เขายอมนอนที่โรงพยาบาลต่อ และฉันบอกเขาว่าหากฉันมีเวลาว่างฉันจะไปเยี่ยม และในวันที่ 12 ส.ค. เป็นวันแม่ ฉันจึงชวนลูกสาวของฉันไปเยี่ยมเขา เพราะในตอนแรกคุณหมอบอกว่าจะให้เขาอยู่ถึงวันที่ 17 แต่พอฉันไปถึงในตอนเที่ยง ปรากฏว่าคุณหมออนุญาติให้เขากลับมาพักรักษาต่อที่บ้านได้โดยให้กลับไปเช็คอีกครั้งในวันที่ 28 ถึงแม้นว่าเขาจะไม่ต้องใส่ท่อแต่เขายังคงฉี่เป็นเลือดอยู่ เมื่อเขาทราบว่าสามารถกลับบ้านได้เขาจึงบอกฉันและลูกว่าจะขับรถมาส่งที่บ้าน แต่ต้องรอลูกสะใภ้ของโจทย์ขับรถมารับในตอนเย็นหลังจากเลิกงาน และกว่าจะได้กลับเกือบ 6.30 โมงเย็น ฝ่ายชายเห็นว่าเย็นมากแล้วสำหรับการที่จะขับรถเดินทางมาส่งฉันและลูก จึงขอความเห็นจากลูกสะใภ้โจทย์ว่าสามารถให้ฉันและลูกนอนที่บ้านเพื่อนของเขาซึ่งสร้างในเขตพื้นที่บ้านของโจทย์ได้หรือไม่ และเธอบอกว่าได้ ไม่เป็นไร เขาจึงพาฉันและลูกไปที่บ้านของเขา และในวันนั้นคือวันที่ฉันได้รับรู้ว่าภรรยาที่ไปทำงานเลดี้บาร์ในต่างประเทศที่เขาต้องการอย่าร้างด้วยนั้นคือโจทย์คือเจ้าของที่ดินที่ฝ่ายชายพาฉันไปนั่นเอง และลูกสะใภ้ของเธอบอกฉันว่าผู้เป็นแม่ไม่คิดกลับมาแล้วเพราะเธอมีงานและมีชายคนใหม่ที่นั่น และเนื่องจากฉันเห็นว่าบ้านที่เขาต้องการให้พักนั้นต้องมีการทำความสะอาดมากเพราะที่นั่นไม่มีการใช้งานเป็นเวลานานและไม่มีฟูกอุปกรณ์สำหรับการนอนเลยฉันจึงบอกเขาว่าต้องการไปนอนที่โรงแรมในจังหวัดดีกว่า และในคืนนั้นฉันนอนที่โรงแรมและฉันเดินทางกลับในตอนเช้าพร้อมกับลูกของฉันด้วยรถตู้โดยสาร เพราะฉันเห็นว่าเขายังคงเพลียต้องการให้เขาพักผ่อนมากกว่า
และในวันที่ 15 ฉันได้รับทราบว่า เขาและลูกสะใภ้ของโจทย์เดินทางไปกรุงเทพเพื่อพูดคุยกับทนายความของเขาเกี่ยวกับเรื่องการอย่าร้าง และในวันนั้นเองที่โจทย์ได้รับทราบข้อมูลว่าสามีของโจทย์ต้องการขออย่าร้าง เพราะฝ่ายชายให้ทนายความที่กรุงเทพเป็นผู้โทรไป แน่นอนเธอโกรธเธอขับไล่ฝ่ายชายให้ออกจากบ้านและโทรสั่งลูกสะใภ้ของเธอว่าห้ามให้ฝ่ายชายเอาทรัพย์สินใดๆออกไปจากบ้าน และเธอจะรีบกลับมาเมืองไทย ฉันได้รับทราบข้อมูลเหล่านี้จากฝ่ายชายและลูกสะใภ้ของโจทย์เองและในวันนั้นฝ่ายชายขอความช่วยเหลือจากฉันอีกครั้งเรื่องการขอที่พักอาศัยชั่วคราว โดยให้เหตุผลที่ว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้แน่นอน เขากลัว ลูกทั้ง 2 ของโจทย์ทำร้าย เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยถูกลูกของโจทย์ทำร้าย รวมถึงตัวโจทย์เองด้วยที่ชอบทุบตีฝ่ายชายยามที่มีเรื่องไม่พอใจ ฉันตัดสินใจให้ความช่วยเหลือเขาเพราะเห็นว่าเขาเป็นชายต่างชาติไม่มีเพื่อน ให้ความช่วยเหลือเขาได้ในเวลานั้น และคิดว่าปัญหาของเขามีมากขึ้นเพราะการที่ฉันเดินทางไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลทำให้เกิดการเข้าใจผิดไม่พอใจมากขึ้นสำหรับครอบครัวของเขา ฝ่ายชายเดินทางมาอาศัยที่บ้านของฉันในวันที่ 16/08 /54 โดยมีเพียงเสื้อผ้ามาเพียงไม่กี่ชุด กับรถยนต์ 1 คัน หลังจากนั้นไม่นานโจทย์เดินทางกลับมาเมืองไทยและได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกับฝ่ายชายหลายครั้งและจบลงที่การไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกันทุกครั้งที่คุยกันเรื่องทรัพย์สิน วันที่ 17 ฝ่ายชายเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อไปขายของ และในวันนั้น โจทย์ให้คนกลางโทรหาฝ่ายชายเพื่อบอกขอรถยนต์คืน โดยให้เหตุผลที่ว่ารถยนต์คันนั้นยังค้างชำระเงินอีก 2 แสนบาท ด้วยเหตุที่เห็นใจคนกลางและไม่ต้องการมีปัญหาในเมืองไทย ฝ่ายชายจึงยอมคืนรถไป ในวันที่ 19/8/54และเพราะคนกลางบอกฝ่ายชายว่าหากฝ่ายโจทย์ หาเงิน 2 แสนมาให้ไม่ได้ภายใน 1 สัปดาห์ ตามที่โจทย์ได้ให้คำสัญญาคนกลางจะยึดรถกลับมาจากโจทย์และให้ฝ่ายชายใช้ตามเดิม แต่ในวันนี้เวลาล่วงเลยมาเป็นเวลาเกือบ 45 วัน แต่กลับไม่มีการยึดรถคืน ทำให้ฝ่ายชายไม่สามารถสร้างรายได้ใดๆได้เลย และเวลาที่ต้องไปพบหมอ ดิฉันต้องให้เขานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไป ซึ่งลำบากมากสำหรับฉันและเขา เพราะเขาตัวใหญ่ มีน้ำหนัก 105 กิโล และเขาไม่เคยนั่งรถมอเตอร์ไซค์มาก่อน และเนื่องด้วยเขาไม่มีเงินไม่มีรถยนต์ทำให้เขาไม่สามารถไปไหนได้ ไม่สามารถสร้างรายได้เลย ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของฉันจนถึงเวลานี้
และวันนี้มีเอกสารฟ้องร้องมาถึงฉัน ในคดีเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นเป็นจำนวนเงิน 1 ล้าน 2 แสนบาท รายละเอียดในเอกสารที่ส่งมาล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่เป็นเท็จทั้งหมด เช่น
-โจทย์บอกว่ามีญาติพี่น้องของโจทย์หลายคนที่เห็น ฉันและฝ่ายชายออกงานสังคมต่างๆทั้งที่จังหวัดของโจทย์และในจังหวัดของดิฉัน โดยดิฉันแสดงตนอย่างออกหน้าออกตา
( ฉันไม่เคยออกงานสังคมใดๆ เป็นเวลาที่นานมากเกินกว่า 2 ปี มีเพียงการไปทำงาน การไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียน กลับบ้าน ที่สำคัญคนในหมู่บ้านของดิฉันเองยังไม่เคยไปพูดคุย)
- มีญาติของโจทย์เห็นว่าฉันมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายชายที่บ้านของโจทย์ หลายครั้งหลายหน
- โจทย์พบเส้นผม เครื่องสำอาง เสื้อผ้าของใช้ของฉันที่ทำหลงลืมไว้ในบ้าน
- โจทย์บอกว่าฉันขโมยของใช้ของโจทย์มา เช่น กระเป๋า ชุดนอน
( ฉันไปบ้านของโจทย์เพียงครั้งเดียวและไม่ได้เข้าไปในห้องนอนของโจทย์ อยู่เพียงใต้ถุนบ้านหลังเก่าๆที่รอวันโค่นลงมาเท่านั้น ห้องน้ำอยู่ตรงไหนฉันยังไม่รู้เลย ญาติของโจทย์ที่ฉันไปพบมามีเพียง ลูกชายของโจทย์ที่มีกับผู้ชายคนอื่น ลูกสะใภ้ หลานสาว พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของโจทย์ ซึ่งทั้งหมดเป็นคนสนิทของโจทย์ทั้งหมด )
- โจทย์บอกว่ามีญาติของโจทย์หลายคนที่กล่าวตักเตือนและบอกฉันว่าเขามีภรรยาแล้วแต่ฉันไม่สนใจในคำพูดเหล่านั้น ( ไม่มีใครมาพูดว่ากล่าวฉันได้เพราะฉันไม่เคยทำสิ่งใดๆผิด )
- โจทย์บอกว่าโจทย์ได้โทรศัพท์และพูดคุยขอร้องฉันให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับสามีของตน แต่ฉันปฎิเสธไม่รับฟังพร้อมทั้งยังด่าว่าอย่างหยาบคายและข่มขู่ว่าจะทำร้ายเธอ
( ฉันไม่เคยพูดคุยใดๆ กับโจทย์เลย จะด่าว่าและข่มขู่ตอนไหน )
- โจทย์บอกว่าฉันพาสามีของโจทย์เดินทางไปแนะนำให้ญาติพี่น้องของฉันได้รู้จักในฐานะสามีของฉัน ( ฉันไม่เคยพาผู้ชายใดไปแนะนำให้ญาติๆหรือพ่อแม่ของฉันรู้จักนอกจากผู้เป็นอดีตสามีหรือผู้เป็นพ่อของลูกๆฉันเท่านั้น สำหรับเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดที่สุด )
- โจทย์บอกว่าสามีของโจทย์ยอมรับกับตัวโจทย์เองว่ามีเพศสัมพันธ์กับดิฉันจริงหลายครั้ง ในเวลาที่โจทย์ไม่อยู่ ( สำหรับเรื่องนี้ต้องทางการแพทย์ ฉันกล้าและฉันพร้อมให้ตรวจสอบ )
ฉันต้องทำอย่างไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง สามารถฟ้องกลับได้หรือไม่ โจทย์บอกว่าเธอมีคนรู้จักในสังคมมากมีพี่น้องเป็น ส.ส. รับราชการ ส่วนฉันก็มีเหมือนกัน รับราชการ ทหาร ตำรวจ พยาบาล มียศสูงพอสมควร และฉันจบ ป. ตรี การที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจลูกๆของฉันกับเรื่องนี้ ตอนนี้เพราะฉันไม่ได้บอกเล่าให้ใครฟัง ฉันจึงยังไม่กล้าปรึกษาพวกท่าน
ค่าใช้จ่ายทนายเท่าไหร่ และมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้าง และหากสามารถฟ้องกลับหมิ่นประมาณ ทำให้เสียชื่อเสียงได้ ควรทำก่อนหรือหลังจากที่มีการนัดไกล่เกลี่ยครั้งแรก และหากเราต้องการฟ้องกลับโจทย์ในภายหลัง เราควรไปไกล่เกลี่ยหรือไม่ การที่โจทย์แจ้งข้อมูลเท็จและอาจทำหลักฐานปลอม มีผลอย่างไร และเราสามารถแก้ไขอย่างไรหากเขาทำหลักฐานปลอมขึ้น ฉันมีพยานไม่มากนัก เพราะฉันมีเพื่อนน้อยไม่ชอบงานสังคม และส่วนที่มีหากเขาไม่เต็มใจ หรือไม่ต้องการเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยจะทำอย่างไร จะให้ลูกทั้งสองของฉันเป็นพยานได้หรือไม่ ที่ฉันมีตอนนี้มีเพียง รายละเอียดการรักษาจากแพทย์สำหรับตัวเขา ที่ระบุวันที่ไปพบแพทย์ การรักษา อาการของเขา ที่สามารถช่วยบอกได้ว่าเขาไม่สามารถมีเซ็กกับฉันได้ในช่วงที่อาศัยในบ้านของฉัน แต่ตอนนี้อาการของเขาเริ่มดีขึ้น เพราะกินยาต่อเนื่องมา เกือบ 3 เดือนแล้ว กลัวว่าสาเหตุนั้นจะฟังไม่ขึ้น และมีเพื่อนอีกสองคนที่บางครั้งฉันต้องอาศัยขอความช่วยเหลือเขาพาฝ่ายชายไปพบแพทย์ และพวกเขารับทราบข้อมูลในสิ่งที่เกิดขึ้น และเคยพาฝ่ายชายมาพบโจทย์ ในวันที่มีการนัดคุยรายละเอียดกัน
สาเหตุที่ตอนนี้เขายังอยู่ที่บ้านของดิฉัน เพราะ เขารอเงินจากบิดาของเขาที่ต่างประเทศ เพราะในตอนแรกไม่สามารถติดต่อได้เพราะบิดาโกรธจึงไม่ยอมให้เบอร์โทรติดต่อ และสำหรับตอนนี้ เนื่องจากที่เขาสร้างความเดือดร้อนมาให้ฉันเขาจึงต้องการช่วยเหลือสำหรับค่าจ้างทนาย

ต้องขอโทษที่เขียนเล่ายาวอย่างละเอียดให้อ่าน เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกิดขึ้น และต้องการความถูกต้องที่สุด

223.204.219.93

ดา

ดา

ผู้เยี่ยมชม

tarathip-@hotmail.com

ทนายกฤษณะ

ทนายกฤษณะ

ผู้เยี่ยมชม

krish1936@gmail.com

11 ต.ค. 2554 22:02 #1

ฟังข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ต้องไปตกใจอะไร ทางโจทก์อาจจะเข้าใจผิด หรือมีใครไปยุแหย่ ค่าทนายสำหรับผมคิด 15,000 บาท ตั้งแต่ยื่นคำให้การจนศาลตัดสิน ไม่มีค่าใช้จ่ายอื่น
คุณสามารถฟ้องกลับได้หลายข้อหา เช่น ฟ้องเท็จ และถ้าไกล่เกลี่ยไม่ได้ จนมีการสืบพยานแล้วเขาสร้างพยานหลักฐานเท็จ ก็มีความผิดฐานเบิกความเท็จ, สร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เป็นความผิดมีโทษทางอาญา
คดีของคุณก็เหมือนกับนักแสดงหญิงลูกครึ่งคนหนึ่งที่ถูกฟ้อง ในที่สุดศาลก็ยกฟ้อง มันเป็นเรื่องที่โจทก์พิสูจน์ลำบาก คุณไม่ต้องกลัวหรอก แต่ต้องสู้คดีนะ

110.168.4.194

ทนายกฤษณะ

ทนายกฤษณะ

ผู้เยี่ยมชม

krish1936@gmail.com

ดา

ดา

ผู้เยี่ยมชม

tarathip-@hotmail.com

12 ต.ค. 2554 10:12 #2

ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ ดิฉันอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรีนะค่ะ ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหรือไม่

223.206.94.226

ดา

ดา

ผู้เยี่ยมชม

tarathip-@hotmail.com

ทนายกฤษณะ

ทนายกฤษณะ

ผู้เยี่ยมชม

krish1936@gmail.com

12 ต.ค. 2554 20:45 #3

ถ้าอยู่สุพรรณบุรี ผมขอเพิ่มค่าเดินทางเที่ยวละ 600 บาท คดีนี้ไม่น่าเกิน 5 เที่ยวเสร็จคดีครับ

58.11.199.82

ทนายกฤษณะ

ทนายกฤษณะ

ผู้เยี่ยมชม

krish1936@gmail.com

ตอบกระทู้
CAPTCHA Image
Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้